วันเสาร์ที่ 12 กันยายน พ.ศ. 2558

เครือข่ายstem education

   ศูนย์สะเต็มศึกษาแห่งชาติเป็นหน่วยงานในกำกับดูแลของสถาบันส่งเสริมการสอนวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี (สสวท.)  ดำเนินงานโดยคณะกรรมการอำนวยการโครงการฯ ซึ่งมีผู้อำนวยการ สสวท. เป็นประธาน นอกจากนี้ มีคณทำงาน  5  คณะซึ่งทำงานขับเคลื่อนโครงการฯ คณะทำงานทั้ง 5 คณะ ประกอบด้วย   (1) คณะทำงานฝ่ายเผยแพความเข้าใจและแนวคิดสะเต็มศึกษา  (2) คณะทำงานฝ่ายสร้างเครือข่ายการดำเนินงานสะเต็มศึกษา  (3) คณะทำงาฝ่ายพัฒนาศักยภาพครูให้สามารถจัดกิจกรรมการเรียนรู้แบบบูรณาการในรูปแบบสะเต็มศึกษา  (4) คณะทำงานฝ่าย พัฒนากิจกรรมการเรียนรู้ตามแนวทางสะเต็มศึกษา  และ (5) คณะทำงานฝ่ายสนับสนุนและติดตามผลการจัดการเรียนรู้ตามแนวทางสะเต็มศึกษาซึ่งจะทำหน้าที่ในการพัฒนาระบบสนับสนุนการขับเคลื่อนสะเต็มศึกษาแก่ศูนย์สะเต็มศึกษาภาค และโรงเรียนเครือข่าย การสนับสนุนที่สสวท.จะจัดส่งให้ประกอบด้วย สื่อในการสร้างความตระหนักและให้ความรู้เรื่องสะเต็มศึกษาและนิทรรศการในพื้นที่สื่อในการสร้างความตระหนักและให้ความรู้เรื่องสะเต็มศึกษาและนิทรรศการในพื้นที่  หลักสูตรพัฒนาผู้บริหาร ครู และบุคลากรทางการศึกษาในจังหวัด  การพัฒนาวิทยากรและเครือข่ายพี่เลี้ยงเพื่อสนับสนุนในพื้นที่  และระบบติดตามและประเมินผล


ครือข่ายสะเต็มศึกษาประเทศไทย ประกอบด้วย ศูนย์สะเต็มศึกษาแห่งชาติ ศูนย์สะเต็มศึกษาภาค และโรงเรียนเครือข่ายสะเต็มศึกษา ซึ่งเป็นหน่วยงานหลักในการดำเนินงาน นอกจากนี้ ยังมีเครือข่ายมหาวิทยาลัยพี่เลี้ยงวิชาการ เครือข่ายศึกษานิเทศก์ เครือข่ายครูพี่เลี้ยงวิชาการ
เครือข่ายทูตสะเต็ม ระบบ iSTEM และระบบเชิดชูเกียรติผู้มีความรู้ความสามารถด้านสะเต็ม (STEM Hall of Fame) ร่วมสนับสนุนการดำเนินงานและขับเคลื่อนการจัดการเรียนรู้ตามแนวทางสะเต็มศึกษาให้เข้าถึงโรงเรียนทั่วประเทศ



โครงสร้างเครือข่ายสะเต็มศึกษา สสวท.

เครือข่ายสะเต็มของ สสวท. เป็นเครือข่ายที่มุ่งหวังจะขับเคลื่อนสะเต็มศึกษาให้เกิดขึ้นในประเทศไทยอย่างเป็นรูปธรมโดยการประสานความร่วมมือระหว่างหน่วยงานและองค์กรที่เกี่ยวข้องกับการศึกษาทั้งภาครัฐและเอกชนผ่านทางศูนย์สะเต็มศึกษาแห่งชาติ (National STEM Education Center: NSEC) และศูนย์สะเต็มศึกษาภาค (Regional STEM Education Center: RSEC) ซึ่งกระจายอยู่ใน 12 จังหวัดทั่วประเทศ ทั้งนี้ สสวท. จะระดมการสนับสนุนจากหน่วยงานในเครือข่ายเพื่อส่งเสริมการจัดการเรียนรู้วิทยาศาสตร์ คณิตศาสตร์ และเทคโนโลยีที่บูรณาการวิศวกรรม เพื่อพัฒนาคุณภาพการเรียนรู้วิทยาศาสตร์ คณิตศาสตร์ และเทคโนโลยีของนักเรียนไทยอย่างเป็นระบบ  โครงสร้างของเครือข่ายสะเต็มศึกษา สสวท. ประกอบด้วย  ศูนย์สะเต็มศึกษาแห่งชาติ  ศูนย์สะเต็มศึกษาภาค  13 ศูนย์  และโรงเรียนเครือข่ายสะเต็มศึกษาที่ดำเนินงานร่วมกับศูนย์สะเต็มศึกษาภาค ศูนย์ละ 6 โรงเรียน ดังแสดงในรูป


ที่มา http://www.stemedthailand.org/?page_id=25






วันศุกร์ที่ 11 กันยายน พ.ศ. 2558

stem education กับการศึกษาปฐมวัย




การพัฒนาสมองด้วยเสต็มในระดับอนุบาลหรือปฐมวัยSTEM 


สอนอะไร

วิทยาศาสตร์ คือวิธีการคิด 
วิทยาศาสตร์คือ การสังเกต การทดลองการทา นายล่วงหน้าการแบ่งปันข้อมูลและสิ่งที่ค้นพบ ถามคำ ถาม และสงสัยว่า สิ่งต่างๆทำงานอย่างไรเป็นการเรียนรู้เกี่ยวกบัธรรมชาติและสิ่งที่เกิดข้ึนตามธรรมชาติรอบตัวเราเทคโนโลยีคือวิธีของการกระทำเทคโนโลยีคือการใช้เครื่องมือริเริ่ม บ่งชี้ปัญหา รู้ปัญหาและทำให้สิ่งต่างๆทำงานได้วิศวกรรมศาสตร์เป็นวิธีการกระทำวศิวกรรมศาสตร์คือการแก้ปัญหาโดยใช้สื่อวัสดุต่างๆหลากหลายออกแบบและสร้างสรรค์สิ่งต่างๆที่ใช้การได้เพื่อแก้ปัญหา ทำให้ดีขึ้นคณิตศาสตร์เป็นวิธีการคิด คณิตศาสตร์คือการจัดเรียงลำดับ (1,2,3,4...) patterning (เกี่ยวกับการทำ pattern เช่น 1, 2, 1, 2, 1, 2... )เป็นการสำรวจรูปร่างรูปทรงต่างๆ ( สามเหลี่ยม สี่เหลี่ยม วงกลม ปิรามิด ลูกบาศก์ทรงกลม ฯลฯ) ปริมาณและปริมาตร(ใส่ได้มากขึ้นหรือน้อยลง)และขนาด(ใหญ่กว่าน้อยกว่า ) เป็นต้นความแตกต่างระหว่างการเรียนรู้วิชาการและการเรียนรู้เพื่อ เสริมสร้างสติปัญญาDr. Lilian Katz กับการศึกษาปฐมวัยผู้มีชื่อเสียงคนหนึ่งของโลกได้กล่าวไว้ว่าการจัดเรียนรู้ให้เด็กนั้น สำคัญมากที่จะทำความเข้าใจถึงความแตกต่างในการจัดการเรียนรู้ระหว่างการเรียนรู้วิชาการและการเรียนรู้อย่างเสริมสร้างปัญญา4
การเรียนรู้ทางวิชาการ"ตามคำจากความคือสิ่งที่ชัดเจนเช่นพยญัชนะเป็นสิ่งที่ไม่ต้องใช้การคิดหาเหตุผลอะไร เป็นสิ่งที่ต้องใช้ความจำ เท่านั้น ...และเป็นสิ่งที่เราต้องเรียนรู้ในที่สุด" (Lilian Katz on Bam Radio)การเรียนรู้เพื่อเสริมสร้างปัญญา "เป็นการเรียนรู้ที่เกี่ยวข้องกับการให้เหตุให้ผลการตั้งสมมุติฐาน การคาดคะเนการใช้ทฤษฎีหรือกำหนดทฤษฎีเป็นต้น และสิ่งเหล่านี้เป็นธรรมชาติของการเรียนรู้ของเด็ก" (Lilian Katz on Bam Radio)ดังน้ันวิธีที่เราควรจะจัดการเรียนรู้ให้เด็กคือ การให้เด็กเรียนรู้วิชาการผ่านการเรียนรู้ที่เสริมสติปัญญาตามธรรมชาติของเด็ก เช่นเมื่อเด็กมาบอกว่า ทำให้ดูหน่อยว่าดียังไง หรือจะเขียนบอกอย่างน้ันอย่างนี้อย่างไรเพราะเด็กได้ทำการสำรวจสืบค้นมาอันเป็นการกระทำที่เกิดขึ้นตามธรรมชาติของเด็กแล้วครูแนะนำเด็กให้ทำตามต้องการเช่นบอกให้ช่วยกัน วัดหรือเขียนตามคำบอกของเด็กที่ตอ้งการบันทึกสิ่งที่ค้นพบ สิ่งที่สร้างสรรค์หรือเขียนตามที่เด็กบอก ต้องการเขียน แลว้ให้เด็กลอกตาม ก็จะเป็นการสอนด้านวิชาการผ่านการเรียนรู้โดยใช้ธรรมชาติการเรียนรู้ของเด็กที่ใช้สติปัญญา

การใช้คำถาม
 
   เด็กอนุบาลจะถามคำถามตลอดเวลาเมื่อเด็กๆกา ลงสำรวจสิ่งต่างๆรอบตัว เช่น เมฆมาจากไหน ทำไม
น้ำแข็งละลาย ทำไมลูกบอลกลิ้งไปตรงนั้น ซึ่งการถามเป็นสิ่งที่เกิดขึ้นตามธรรมชาติของเด็กทุกคน ครูต้องฟังเด็กให้มากใชคำถามกระตุ้น ให้เด็กคิดมากขึ้นอย่างเป็นระบบ ครูไม่จำเป็นต้องตอบคำถามเด็กทุกคา ถามแต่ควรถามคำถามดีๆไปพร้อมกับเด็กๆ และถามให้เด็กคิดว่าจะไปสืบค้นหาคำตอบได้ที่ไหนอย่างไรได้บ้างแล้วนำพาสู่การสำรวจสืบค้นครูเองก็อาจจะไม่ทราบทุกคำตอบถึงทราบก็ไม่แน่ว่าจะถูกต้องหรือไม่แค่ไหน ดังนั้น จึงควรชักชวนเด็กให้สามารถคิดที่จะสืบค้นสำรวจให้เวลาเด็กได้ทำ กิจกรรมต่างๆเพื่อเรียนรู้ด้วยตนเองให้มากถ้าครูทราบครูรู้ไปเสียทุกอย่าง เด็กก็แค่ถามครูและไม่เรียนรู้ด้วยตนเอง แต่ครูควรถามให้เด็กคิดและฝึกการแก้ปัญหาด้วยตนเอง ช่วยจัดสื่ออุปกรณ์ที่เด็กต้องการ จัดหาผู้เชี่ยวชาญให้เด็กได้ถามและพาเด็กไปสถานที่ที่เด็กสามารถพบคำตอบและนำข้อมูลมาแก้ปัญหาเองได้ครูให้เวลาเพียงพอกับเด็กที่จะลองผิดลองถูกได้ด้วยตนเองโดยไม่คิดว่าทำอะไรผิดกระตุ้นใหเ้ด็กๆมีความมานะที่จะทำจนสำเร็จและพึงพอใจ

การใช้ประสาทสัมผัสทั้งห้า

    การสำรวจโดยใช้ประสาทสัมผัสทั้งห้าช่วยให้เด็กๆเสริมสร้างทักษะการสังเกตว่าอะไรเป็นอย่างไรและเกิดอะไรขึ้น และสามารถใช้คำในการอธิบายว่ารับรู้อะไรและรู้สึกอย่างไร เมื่อเด็กๆได้เรียนรู้ด้วยการใช้
ประสาทสัมผัสท้ังห้าจะทำให้เซลล์ประสาทแตกแยกสาขาและเชื่อมโยงกันมากขึ้น และทำให้สามารถจา ได้นานข้ึนประสาทสัมผสัท้งัห้าเป็นวิธีการที่เด็กใช้สำรวจเรียนรู้และเข้าใจข้อมูลใหม่ๆที่มีประสิทธิภาพสูงสุด สัมผัสทั้งห้าได้แก่การได้เห็น ได้ฟังได้ดมกลิ่น ได้ลิ้มรส และได้สัมผัสจับต้อง

ที่มา http://www.kukai.ac.th/Thai/doc/STEM-Education.pdf

stem education กับการพัตนาทักษะในศตวรรษที่21

        ความเจริญก้าวหน้าทางวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีผลการวิจัยเกี่ยวกับสมอง และการเสนอแนวคิดเกี่ยวกับทักษะที่จำเป็นในศตวรรษที่ 21 ส่งผลให้กระบวนทัศน์ทางการศึกษาเปลี่ยนแปลงไป การจัดการศึกษาทุกระดับเน้นให้ผู้เรียนเกิดการพัฒนาทักษะการคิดขั้นสูง เช่น การคิดสร้างสรรค์การคิดแก้ปัญหาการคิดแบบวิจารณญาณ ฯลฯรวมทั้งการพัฒนาทักษะการสื่อสารการใช้เทคโนโลยีเป็นเครื่องมือแสวงหาความรู้และการมีทักษะทางสังคม แนวโน้มการจัดการศึกษาจึงจำเป็นต้องบูรณาการทั้งด้านศาสตร์ต่างๆ และบูรณาการการเรียนในห้องเรียนและชีวิตจริง ทำให้การเรียนนั้นมีความหมายต่อผู้เรียน ซึ่งผู้เรียนจะเห็นประโยชน์คุณค่าของการเรียน และสามารถนำไปใช้ประโยชน์ในชีวิตประจำวันได้ซึ่งเป็นการเตรียมผู้เรียนในการเรียนต่อไปในชั้นสูงขึ้น เกิดการเพิ่มโอกาสการทำงานในอนาคตการเพิ่มมูลค่าและการสร้างความแข็งแกร่งให้กับประเทศด้านเศรษฐกิจได้

องค์ประกอบของความรู้และทักษะในศตวรรษที่ 21
 
ทักษะที่จำเป็นในศตวรรษที่ 21 มีจุดเริ่มต้นมาจากการประชุมร ่วมกันของนักวิชาการหลากหลายสาขาในสหรัฐอเมริกามาประชุมร่วมกัน โดยรัฐบาลต้องการพัฒนาคุณภาพประชากรประเทศเพื่อยกระดับขีดความสามารถของประเทศกับนานาชาติและต้องการให้ประชากรนั้นมีคุณภาพและศักยภาพในสังคม สามารถดำรงชีวิตอยู่ในโลกที่มีการเปลี่ยนแปลงต่างๆ อย่างรวดเร็ว ทั้งนี้องค์ประกอบในด้านต่างๆ ที่ควรเกิดขึ้นในผู้เรียนจากการจัดการศึกษาในศตวรรษที่ 21 (21st Century Student Outcomes) ได้แก่ ความรู้
ทักษะความเชี่ยวชาญ (ThePartnership for21st CenturySkills, 2009) ดังต่อไปนี้

1. ความรู้ในวิชาหลักและเนื้อหาประเด็นที่สำคัญสำหรับศตวรรษที่ 21 (Core Subjects and 21st CenturyThemes) ได้แก่ภาษาอังกฤษ การอ่าน ศิลปะในการใช้ภาษาภาษาต่างประเทศคณิตศาสตร์ เศรษฐศาสตร์ วิทยาศาสตร์ศิลปะ ภูมิศาสตร์ ประวัติศาสตร์ หน้าที่พลเมือง และการ
ปกครอง ซึ่งควรครอบคลุมเนื้อหาในสาขาใหม่ๆ ที่มีความสำคัญต่อการทำงานและชุมชน แต่สถาบันการศึกษาไม่ได้ให้ความสำคัญ ได้แก่ จิตสำนึกต่อโลก ความรู้พื้นฐานด้านการเงิน เศรษฐกิจ ธุรกิจ และการเป็นผู้ประกอบการ ความรู้พื้นฐานด้านพลเมืองและความตระหนักในสุขภาพและสวัสดิภาพ
2. ทักษะการเรียนรู้และนวัตกรรม (Learning andInnovation Skills) ได้แก่
 • ความคิดสร้างสรรค์และนวัตกรรม (Creativityand Innovation)ซึ่งครอบคลุมไปถึงการคิดแบบสร้างสรรค์การทำงานอย่าสร้างสรรค์ร่วมกับผู้อื่น และการนำความคิดนั้นไปใช้อย่างสร้างสรรค์
การคิดเชิงวิพากษ์และการแก้ปัญหา (CriticalThinking and Problem Solving) หมายความรวมถึงการคิดอย่างมีเหตุผล การคิดเชิงระบบ การคิดตัดสินใจและการคิดแก้ปัญหา
การสื่อสารและการร่วมมือ(Communicationand Collaboration) ซึ่งเน้นการสื่อสารโดยใช้สื่อรูปแบบต่างๆ ที่มีประสิทธิภาพ ชัดเจน และการทำงานร่วมกับผู้อื่นอย่างมีประสิทธิภาพ
3. ทักษะด้านสารสนเทศ สื่อ และเทคโนโลยี(Information, Media and Technology Skills) ซึ่งใน
ศตวรรษที่21 นี้นับได้ว่ามีความเจริญก้าวหน้าทางเทคโนโลยีมาก ดังนั้นผู้เรียนจึงควรมีทักษะดังต่อไปนี้คือ
การรู้เท ่าทันสารสนเทศ (InformationLiteracy)
การรู้เท่าทันสื่อ (Media Literacy)
การรู้เท ่าทันเทคโนโลยีสารสนเทศ (ICT(Information, Communications & Technology)                              Literacy)
4. ทักษะชีวิตและการทํางาน (Life and CareerSkills) ในการดำรงชีวิตและในการทำงานนั้นไม่เพียงต้องการคนที่มีความรู้ความสามารถในเนื้อหาความรู้หรือทักษะการคิดเท่านั้น หากแต่ยังต้องการผู้ที่สามารถทำงานในบริบทที่มีความซับซ้อนมากขึ้นอีกด้วย ทักษะที่จำเป็น ได้แก่
ความยืดหยุ่นและความสามารถในการปรับตัว(Flexibility and Adaptability)
ความคิดริเริ่มและการชี้นําตนเอง (Initiativeand Self Direction)
ทักษะทางสังคมและการเรียนรู้ข้ามวัฒนธรรม(Social and Cross-cultural Skills)
การเพิ่มผลผลิตและความรู้รับผิด(Productivityand Accountability)
ค ว า ม เ ป ็ น ผู้ นํา แ ล ะ ค ว า ม รั บ ผิ ด ช อ บ(Leadership and Responsibility)

แนวทางพัฒนาทักษะในศตวรรษที่ 21 ของไทยด้วย 
STEM Education
 
      แนวคิดในการจัดการศึกษาของไทยในปัจจุบันเปลี่ยนแปลงหลายๆด้าน ทั้งเชิงคุณภาพและปริมาณ กล่าวคือมีการเน้นคุณภาพ ความสามารถของผู้สอน ลดปริมาณ ความซ้ำซ้อนของเนื้อหา
มีการนำผลการศึกษาทางวิทยาศาสต์ด้านสมองและจิตวิทยา การเรียนรู้ของมนุษย์มาปรับเปลี่ยนวิธี
การจัดการศึกษาทุกระดับทั้งในการจัดการศึกษาขั้นพื้นฐานและอุดมศึกษา มีการศึกษาวิจัยและนำผลการวิจัยมาปรับเปลี่ยนการจัดการศึกษาให้มีคุณภาพมากขึ้น มีการจัดการประชุมเชิงวิชาการจากทุกภาคส่วนที่เกี่ยวข้องเพื่อกระตุ้นให้นักการศึกษาได้เห็นความสำคัญและนำไปใช้เพื่อขับเคลื่อนนโยบายทางการจัดการศึกษาที่มุ ่งเน้นให้ผู้เรียนมีทักษะที่จำเป็นในศตวรรษที่ 21 ในส่วนของผู้ปฏิบัติการ เช่น ครูอาจารย์ก็มีการปรับเปลี่ยนวิธีการจัดการเรียนการสอน ให้ความสำคัญและให้ผู้เรียนมีบทบาทมากขึ้น มีใช้วิธีการจัดการเรียนการสอนรูปแบบต่างๆมาใช้เพื่อพัฒนาทักษะที่จำเป็นในศตวรรษที่ 21 โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ทักษะการคิด เช่น การจัดการสอนแบบบูรณาการการสอนโดยใช้ใครงงาน การสอน
โดยใช้วิจัยเป็นฐาน ฯลฯจากการปรับเปลี่ยนกระบวนทัศน์ในการจัดการศึกษาของไทยดังตัวอย ่างที่
กล่าวข้างต้นนี้ย่อมแสดงให้เห็นถึงความพร้อมของไทยในการนำ STEM education มาสู่กระบวนการจัดการศึกษา การนำแนวคิดต่างๆ มาปรับเปลี่ยนแนวทางในการจัดการศึกษาเดิมนั้น จำเป็นอย ่างยิ่งที่นักการศึกษา ผู้ที่เกี่ยวข้อง ครูอาจารย์และผู้บริหารจะต้องวิเคราะห์และทำความเข้าใจอย่างถ่องแท้เพื่อที่จะนำไปใช้ได้อย่างถูกต้องการนำ STEM Educationมาใช้ในประเทศไทยก็เช่นเดียวกัน
เพื่อป้องกันมิให้เกิดความเข้าใจคลาดเคลื่อน ซึ่งจะส่งผลให้เกิดผลกระทบในการจัดการศึกษาในอนาคต หรือส่งผลให้การใช้STEM Educationไม่บรรลุเป้าหมายโดยมักมีผู้เข้าใจว่าการสอนด้วย STEM Education เป็นการสอนเฉพาะวิชาวิทยาศาสตร์กับคณิตศาสตร์เท่านั้น เนื่องด้วยการจัดการเรียนรู้ในหลักสูตรทั่วไปจะเน้นที่สองวิชานี้เป็นหลัก นอกจากนั้นยังมีผู้เข้าใจว่า STEM Education หมายถึงการคิดค้นหรือ
พัฒนาแนวทางการจัดการเรียนรู้แบบใหม่เพื่อส่งเสริมการเรียนรู้ในแต่ละสาขาวิชา หรือบางคนก็เข้าใจว่าเป็นการสอนที่เน้นความรู้ด้านวิทยาศาสตร์และคณิตศาสตร์เป็นแกน และนำความรู้ด้านเทคโนโลยีและวิศวกรรมมาเพิ่มเติมให้สมบูรณ์ขึ้น(อภิสิทธ์ธงไชยและคณะ,2555) ดังนั้น เพื่อให้การนำ STEM
Education มาใช้ในประเทศไทยให้บรรลุเป้าหมาย และจุดประสงค์ตามหลักการที่กล่าวไว้ในข้างต้นอย่างมีประสิทธิภาพการทำความเข้าใจที่ถูกต้อง การศึกษาถึง ข้อดีผลการศึกษาวิจัย องค์ประกอบหรือปัจจัยต่างๆ ที่เกี่ยวข้อง รวมทั้งการเตรียมพร้อมกับการใช้STEM Education ในประเด็นต่อไปนี้
จึงเป็นสิ่งที่ทุกฝ่ายควรพิจารณา (Rachel, 2008; Bybee,2009; The Wheelock College Aspire Institute, 2010;Bybee, 2011; Rapporteur, 2011; Carr, Bennetti, &Strobe, 2011; ยศวีร์สายฟ้า, 2555)
 1. หลักสูตร/บทเรียน STEM Education โดยที่การสอนของSTEM Educationเป็นการสอนแบบบูรณาการและเป็นนโยบ ายหลักของก ารจัดก ารศึกษ าในประเทศสหรัฐอเมริกาดังกล่าวแล้วข้างต้น หลักสูตร มาตรฐาน และตัวชี้วัดของทั้ง 4 วิชา กล่าวคือ วิทยาศาสตร์ เทคโนโลยีวิศวกรรมศาสตร์และคณิตศาสตร์จึงเป็นกุญแจสำคัญที่จะทำให้การจัดการศึกษาด้วย STEM Education ในระดับการ
ศึกษาขั้นพื้นฐานประสบความสำเร็จส่งผลให้นักเรียนมีความรู้พื้นฐานเพื่อเข้าศึกษาต่อในะดับอุดมศึกษาได้ ทั้งนี้แต่ละรัฐได้มีหลักสูตร เนื้อหา บทเรียนต่างๆ ของ STEM Educationเพื่อให้ครูผู้สอนทุกระดับสามารถค้นหาและเข้าถึงในสื่อและแหล่งเรียนรู้ได้เป็นอย่างดีส่งผลให้ครูสามารถนำหลักสูตรสื่อบทเรียนนั้นไปใช้ได้อย่างสะดวก โดยมีการศึกษาวิจัยและนำผลที่ได้การศึกษาวิจัยนั้นมาเป็นแนวคิดในการแก้ไขปรับปรุงต่อไป สำหรับประเทศไทยเมื่อพิจารณาด้านความพร้อมของหลักสูตรทั้ง 4กลุ่มวิชา ของหลักสูตรแกนกลางการศึกษาขั้นพื้นฐาน พุทธศักราช 2551 จะเห็นได้ว่า ประเทศไทยมีเพียงหลักสูตรวิทยาศาสตร์(S) เทคโนโลยี(T)และคณิตศาสตร์(M)เท่านั้น แต่ไม่พบว่ามีหลักสูตรวิศวกรรมศาสตร์ปรากฏอย่างชัดเจนในระดับการศึกษาขั้นพื้นฐาน จะมีก็เป็นเพียงลักษณะการสอดแทรกอยู่ในวิชาเทคโนโลยี และวิทยาศาสตร์เท่านั้นดังนั้น การสร้างความชัดเจน ต่อเนื่องและสอดคล้องของแต่ละหลักสูตรวิชาจึงมีความสำคัญ เพราะจะเป็นแนวทางให้ครูผู้สอนนำไปจัดการเรียนการสอนได้นอกจากความพร้อมด้านหลักสูตรทั้ง 4 วิชาแล้ว ความพร้อมด้านสื่อ บทเรียนกระบวนการวัดและประเมินผลที่ชัดเจน ก็มีความสำคัญทำให้ประเทศไทยสามารถใช้STEM Education ได้ 
   2. การพัฒนาครูประจำการ (Profess ionalDevelopment) ผู้ที่มีบทบาทและเป็นปัจจัยหนึ่งให้STEM
Education ประสบความสำเร็จคืออาจารย์ผู้สอน ดังจะเห็นได้จากประสบการณ์ความสำเร็จของโรงเรียนต ่างๆ ในสหรัฐอเมริกาที่มีการเตรียมการของหน่วยงานในการอบรมเพื่อให้ความรู้ครูในการเตรียมการสอน ในส ่วนของประเทศไทยนั้น สถาบันส่งเสริมการสอนวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีซึ่งรับผิดชอบเกี่ยวกับหลักสูตร การเรียนการสอนวิทยาศาสตร์คณิตศาสตร์ และเทคโนโลยีนั้นก็ได้มีการเตรียมการศึกษาและวางแผนการใน STEM Educationแล้วมีการอบรม เพื่อให้ความรู้แก ่บุคลากรในสถาบัน การจัด
ประชุมหรือการร่วมประชุมวิชาการนานาชาติการเชิญผู้ทรงคุณวุฒิมาให้ความรู้การศึกษาและวางแผนการวิจัย เพื่อให้STEM Education นั้นเป็นรูปธรรม ทั้งนี้แผนการพัฒนาครูประจำการที่ดีชัดเจน จะมีส่วนช่วยให้ผู้บริหารสถานศึกษาและครูผู้สอน เข้าใจและสามารถนำไปสอนได้อย ่างมีประสิทธิภาพ นอกจากนี้แล้ว อาจารย์ผู้ทรงคุณวุฒิในระดับอุดมศึกษาก็ควรมีบทบาทในการพัฒนาครูประจำการด้วย
ได้แก่การใช้ระบบพี่เลี้ยง (Mentoring System) เพื่อช่วยให้ครูผู้สอนในชุมชนของตนมีความรู้และความเข้าใจที่ถูกต้องกระตุ้นให้ครูสร้างบรรยากาศการเรียนรู้ที่ปลอดภัย เป็นมิตรแนะนำให้ครูสร้างกระบวนการเรียนรู้ที่เกิดขึ้นโดยผู้เรียนเป็นผู้ลงมือกระทำ ให้ความช่วยเหลือครูในเรื่องของการวางแผนจัดการหลักสูตร ตลอดจนให้กำลังใจเพื่อให้ครูมีความมั่นใจและมีเจตคติที่ดีต่อ STEM Education 
3.การเตรียมพร้อมในการผลิตบัณฑิตเพื่อเป็นผู้สอนSTEM Education การศึกษาศาสตร์ระบบการเตรียมนิสิตนักศึกษาครูเพื่อสอนใน STEM Educationมีความสำคัญมากเช่นเดียวกับการสอนในวิชาอื่นๆโดยจากการวิจัยพบว่า ปัจจัยหนึ่งที่ทำให้เกิดความล้มเหลวในการสอนวิทยาศาสตร์ระดับประถมศึกษาคือ ครูฝึกหัดมักขาดความมั่นใจในการสอนเพราะครูฝึกสอนเหล่านั้นขาดประสบการณ์หรือความรู้ทางด้านวิทยาศาสตร์ ทำให้นักเรียนได้รับประสบการณ์ทางวิทยาศาสตร์น้อย เน้นแต ่ความรู้ด้านกฏหรือทฤษฎีทางวิทยาศาสตร์ดังนั้น การเตรียมหลักสูตรและเนื้อหาการสอนSTEM Education สำหรับนิสิต นักศึกษา ตลอดจนวิธีการสอนที่สอดคล้องกับธรรมชาติของทั้ง 4 วิชา เช่น เน้นการสำรวจตรวจสอบและปฏิบัติทางวิทยาศาสตร์รวมทั้งความรู้ความเข้าใจที่ถูกต้องเกี่ยวกับการจัดการศึกษาในศตวรรษที่21จะช่วยให้ครูฝึกสอนเหล่านั้นมีความมั่นใจมากขึ้น นอกจากนี้สถาบันอุดมศึกษาที่ผลิตครูควรสร้างระบบการผลิตครูที่ชัดเจนเพื่อให้เกิดประโยชน์ต่อผู้มาเรียนและระบบการศึกษาเช ่น ควรวางแผนการผลิตครูเพื่อให้ได้ครูในสาขาที่สังคมต้องการเป็นการป้องกันการผลิตครูที่เกินอัตรา การพิจารณาอัตรากำลังของอาจารย์ผู้สอนต่อจำนวนนักศึกษาเพื่อให้การสอนมีคุณภาพ การสร้างรูปแบบการนิเทศก์การเป็นผู้ชี้แนะและพี่เลี้ยง (Coaching and Mentoring) ให้กับครูฝึกสอนเพื่อให้มีความรู้และความมั่นใจในการปฏิบัติสอน
     4  การเตรียมพร้อมของสถานศึกษา ผู้บริหารสถานศึกษา เป็นปัจจัยหลักของความสำเร็จของการเปลี่ยนแปลงต่างๆในสถานศึกษาSTEM Educationต้องการผู้บริหารมืออาชีพ กล่าวคือสามารถบริหารจัดการอย่างมียุทธศาสตร์เป็นนักวิชาการมุ่งพัฒนากระบวนการเรียนการสอนเป็นหลักเปิดโอกาสให้ทุก
ฝ่ายเข้ามามีส ่วนร ่วมในการคิดและบริหารสามารถสร้างสัมพันธภาพที่ดีระหว่างครอบครัว ชุมชนและ
สถานศึกษา ให้ความสำคัญการเปลี่ยนแปลงเพื่อการพัฒนาเป็นผู้นำที่ไม่หยุดนิ่ง พร้อมที่จะพัฒนาวิชาชีพของตนเองใหก้าวทันการเปลี่ยนแปลงเสมอ และพร้อมที่จะประสานและทำงานร่วมกันกับทุกฝ่าย สนับสนุนการจัดการเรียนการสอนตลอดจนเปิดโอกาสให้บุคคลภายนอกจากภาคส่วนต่างๆเข้า
มามีบทบาท 
5. การศึกษาวิจัยเพื่อสนับสนุน พัฒนา STEMEducation ปัจจุบันนักการศึกษาได้ศึกษาวิจัยและให้ข้อคิดเห็นหลากหลายเกี่ยวกับ STEM Education ในต่างประเทศเช่น การเริ่มสอน STEM Education ในระดับปฐมวัย เพื่อตอบสนองต่อการพัฒนาทางสติปัญญาโดยพาะอย่างยิ่งทำให้เด็กเล็กๆ พัฒนาทักษะทางปัญญาด้านวิศวกรรมศาสตร์ได้การใช้สื่อเทคโนโลยีเช่น iPad และ Tablet เพื่อพัฒนาการ
สอน STEM Educationซึ่งพบว่าเด็กในระดับปฐมวัยสามารถพัฒนาได้เป็นอย่างดี(Aronin & Floyd,2013) ทั้งนี้รายงานชี้ให้เห็นว่า ความสำเร็จของ STEM Education นอกจากจะเกิดจาก ความสอดคล้องต่อเนื่องของหลักสูตร คุณภาพของครูผู้สอน การมีระบบวัด ประเมินผลที่ชัดเจน และเวลาที่ใช้ในการสอนแล้ว ปัจจัยที่จะผลักดันอีกประการหนึ่ง คือ การศึกษาวิจัยโดยรัฐ และผู้กำหนดนโยบายทางการศึกษา ควรสนับสนุนการทำงานวิจัยเพิ่มขึ้น (National ResearchCouncil of the National Academes, 2011) ซี่งในส่วนของประเทศไทยนั้น การสนับสนุนให้SEM Educationประสบความสำเร็จ ควรมาจากหลายภาคส่วนทั้งภาครัฐและเอกชน การร่วมมือระหว่างชุมชน และสถาบันอุดมศึกษาเพื่อการวิจัย พัฒนาหลักสูตร STEM Education ในบริบทของไทยการพัฒนาครูผู้สอน การบริหารจัดการสถานศึกษาฯลฯ

ที่มา http://www.bu.ac.th/knowledgecenter/executive_journal/april_june_13/pdf/aw07.pdf

วันพุธที่ 9 กันยายน พ.ศ. 2558

สะเต็มศึกษาและการออกแบบเชิงวิศวกรรมศาสตร์



      จุดเด่นที่ชัดเจนข้อหนึ่งของการจัดการเรียนการเรียนรู้แบบสะเต็ม คือการผนวกแนวคิดการออกแบบเชิงวิศวกรรมเข้ากับการเรียนรู้วิทยาศาสตร์  คณิตศาสตร์ และเทคโนโลยี ของผู้เรียน กล่าวคือ ในขณะที่นักเรียนทำกิจกรรมเพื่อพัฒนาความรู้ ความเข้าใจ และฝึกทักษะด้านวิทยาศาสตร์  คณิตศาสตร์ และเทคโนโลยี ผู้เรียนต้องมีโอกาสนำความรู้มาออกแบบวิธีการหรือกระบวนการเพื่อตอบสนองความต้องการหรือแก้ปัญหาที่เกี่ยวข้องกับชีวิตประจำวัน เพื่อให้ได้เทคโนโลยีซึ่งเป็นผลผลิตจากกระบวนการออกแบบเชิงวิศวกรรม (NRC, 2012)  กระบวนการออกแบบเชิงวิศวกรรมประกอบด้วยองค์ประกอบ 5 ขั้นตอน ได้แก่ 


การระบุปัญหา (identify a challenge)   

ขั้นตอนนี้เริ่มต้นจากการที่ผู้แก้ปัญหาตระหนักถึงสิ่งที่เป็นปัญหาในชีวิตประจำวันและจำเป็นต้องหาวิธีการหรือสร้างสิ่งประดิษฐ์ (innovation)  เพื่อแก้ไขปัญหาดังกล่าว  ในการแก้ปัญหาในชีวิตจริงบางครั้งคำถามหรือปัญหาที่เราระบุอาจประกอบด้วยปัญหาย่อย  ในขั้นตอนของการระบุปัญหา ผู้แก้ปัญหาต้องพิจารณาปัญหาหรือกิจกรรมย่อยที่ต้องเกิดขึ้นเพื่อประกอบเป็นวิธีการในการแก้ปัญหาใหญ่ด้วย 

การค้นหาแนวคิดที่เกี่ยวข้อง (explore ideas) 

หลังจากผู้แก้ปัญหาทำความเข้าใจปัญหาและสามารถระบุปัญหาย่อย ขั้นตอนต่อไปคือการรวบรวมข้อมูลและแนวคิดที่เกี่ยวข้องกับการแก้ปัญหาดังกล่าว ในการค้นหาแนวคิดที่เกี่ยวข้องผู้แก้ปัญหาอาจมีการดำเนินการ ดังนี้  (1) การรวบรวมข้อมูล คือ การสืบค้นว่าเคยมีใครหาวิธีแก้ปัญหาดังกล่าวนี้แล้วหรือไม่ และหากมีเขาแก้ปัญหาอย่างไร และมีข้อเสนอแนะใดบ้าง  (2)  การค้นหาแนวคิด คือการค้นหาแนวคิดหรือความรู้ทางวิทยาศาสตร์ คณิตศาสตร์ หรือเทคโนโลยีที่เกี่ยวข้องและสามารถประยุกต์ในการแก้ปัญหาได้ ในขั้นตอนนี้ ผู้แก้ปัญหาควรพิจารณาแนวคิดหรือความรู้ทั้งหมดที่สามารถใช้แก้ปัญหาและจดบันทึกแนวคิดไว้เป็นทางเลือก และหลังจากการรวบรวมแนวคิดเหล่านั้นแล้วจึงประเมินแนวคิดเหล่านั้น โดยพิจารราถึงความเป็นไปได้ ความคุ้มทุน ข้อดีและจุดอ่อน และความเหมาะสมกับเงื่อนไขและขอบเขตของปัญหา แล้วจึงเลือกแนวคิดหรือวิธีการที่เหมาะสมที่สุด

การวางแผนและพัฒนา (plan and develop) 

หลังจากเลิอกแนวคิดที่เหมาะสมในการแก้ปัญหาแล้ว ขั้นตอนต่อไป คือการวางแผนการดำเนินงาน โดยผู้แก้ปัญหาต้องกำหนดขั้นตอนย่อยในการทำงานรวมทั้งกำหนดเป้าหมายและระยะเวลาในการดำเนินการแต่ละขั้นตอนย่อยให้ชัดเจน ในขั้นตอนของการพัฒนา ผู้แก้ปัญหาต้องวาดแบบและพัฒนาต้นแบบ (prototype) ของผลผลิตเพื่อใช้ในการทดสอบแนวคิดที่ใช้ในการแก้ปัญหา


การทดสอบและประเมินผล (test and evaluate)

เป็นขั้นตอนทดสอบและประเมินการใช้งานต้นแบบเพื่อแก้ปัญหา ผลที่ได้จากการทดสอบและประเมินอาจถูกนำมาใช้ในการปรับปรุงและพัฒนาผลลัพท์ให้มีประสิทธิภาพในการแก้ปัญหามากขึ้น การทดสอบและประเมินผลสามารถเกิดขึ้นได้หลายครั้งในกระบวนการแก้ปัญหา


การนำเสนอผลลัพท์ (present the solution)

หลังจากการพัฒนา ปรับปรุง ทดสอบและประเมินวิธีการแก้ปัญหาหรือผลลัพท์จนมีประสิทธิภาพตามที่ต้องการแล้ว ผู้แก้ปัญหาต้องนำเสนอผลลัท์ต่อสาธารณชน โดยต้องออกแบบวิธีการนำเสนอข้อมูลที่เข้าใจง่ายและน่าสนใจ




ที่มา http://www.stemedthailand.org/?knowstem=%E0%B8%AA%E0%B8%B0%E0%B9%80%E0%B8%95%E0%B9%87%E0%B8%A1%E0%B8%A8%E0%B8%B6%E0%B8%81%E0%B8%A9%E0%B8%B2%E0%B9%81%E0%B8%A5%E0%B8%B0%E0%B8%81%E0%B8%B2%E0%B8%A3%E0%B8%AD%E0%B8%AD%E0%B8%81%E0%B9%81%E0%B8%9A










ความหมาย


Stem education

    STEMย่อมาจาก Science, Technology, Engineering and Mathematics เป็นแนวทางการเรียนการสอนที่มีลักษณะของการบูรณาการการเรียนการสอนทั้งสี่สาขาเข้าด้วยกัน คือ วิทยาศาสตร์(Science),  เทคโนโลยี (Technology), วิศวกรรมศาสตร์ (Engineering) และคณิตศาสตร์ (Mathematics) เพื่อให้ ผู้เรียนนำความรู้ทุกแขนงมาใช้ในการแก้ปัญหา และสร้างสรรค์นวัตกรรมใหม่ในชีวิตประจำวัน โดยอาศัยการจัดการเรียนรู้ด้วยครูหลายสาขาร่วมมือกัน


- Science เป็นวิชาที่ว่าด้วยการศึกษาปรากฏการณ์ต่างๆ ในธรรมชาติ โดยอาศัยกระบวนการสืบเสาะทางวิทยาศาสตร์ (Scientific Inquiry) 

-Technology เป็นวิชาที่ว่าด้วยกระบวนการทำงานที่มีการประยุกต์ศาสตร์สาขาอื่นๆ ที่เกี่ยวข้อง มาใช้ในการแก้ปัญหา ปรับปรุงแก้ไขหรือพัฒนาสิ่งต่างๆ เพื่อตอบสนองความต้องการ หรือความจำเป็นของมนุษย์

-Engineering เป็นวิชาที่เกี่ยวกับการสร้างสรรค์นวัตกรรมหรือสร้างสิ่งต่างๆ เพื่อมาอำนวยความสะดวกของมนุษย์ โดยอาศัยความรู้ด้านวิทยาศาสตร์ คณิตศาสตร์ และกระบวนการทางเทคโนโลยี มาประยุกต์ใช้สร้างสรรค์ชิ้นงานนั้นๆ

-Mathematics เป็นวิชาที่ว่าด้วยการศึกษาเกี่ยวกับการคำนวณ หรือ วิชาที่เกี่ยวกับการคำนวณ เป็นพื้นฐานสำคัญในการศึกษาและต่อยอดทางวิศวกรรมศาสตร์






stem-education


สาเหตุที่ต้องมี STEM EDUCATION 
     
     จุดเริ่มต้นของแนวคิด STEM มาจากสหรัฐอเมริกา ที่ประสบปัญหาเรื่อง ผลการทดสอบ PISA ของสหรัฐอเมริกา ที่ต่ำกว่าหลายประเทศ และส่งผลต่อขีดความสามารถด้านวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี และวิศวกรรม รัฐบาลจึงมีนโยบาย ส่งเสริมการศึกษาโดยพัฒนา STEM ขึ้นมา เพื่อหวังว่าจะช่วยยกระดับผลการทดสอบ PISA ให้สูงขึ้น และจะเป็นแนวทางหนึ่งในการส่งเสริมทักษะที่จำเป็นสำหรับผู้เรียนในศตวรรษที่ 21 (21st Century skills)
ประเทศไทยของเราเองก็ประสบปัญหาในลักษณะคล้ายกัน เช่น นักเรียนไม่เข้าใจบทเรียนอย่างแท้จริง เรียนอย่างท่องจำ ให้ทำข้อสอบผ่าน เมื่อผ่านไปอีกภาคการศึกษาหนึ่ง เกิดปัญหาลืมบทเรียนที่จบไปแล้ว อาจเป็นเพราะนักเรียนไม่เข้าใจว่า บทเรียนนั้นนำไปใช้ประโยชน์ในชีวิตจริงได้อย่างไร จึงทำให้นักเรียนไม่สามารถเชื่อมต่อความรู้เป็นภาพใหญ่ได้
ตัวอย่างการเรียนการสอนในประเทศญี่ปุ่น ประเทศญี่ปุ่น มักจะที่ประสบภัยพิบัติมาตลอด จึงนำมาประเด็นดังกล่าว มาใช้ในภาคการศึกษา ดังเช่น การคำนวณพื้นที่ประสบภัยน้ำท่วม การไหลของน้ำ การเคลื่อนที่ของคลื่นซึนามิ แม้จะเป็นความเข้าใจในพื้นฐานไม่ลึกซึ้ง เท่ากับการศึกษาด้วยแบบจำลองด้วยคอมพิวเตอร์ (computer modeling) ที่หน่วยงานดูแลและบริหารใช้งานอยู่จริง แต่ก็ทำให้นักเรียนเห็นภาพที่เกี่ยวข้องกับชีวิตประจำวันมากขึ้น

การดำเนินการในประเทศไทย
   ภายใต้ความร่วมมือระหว่างสถาบันส่งเสริมการสอนวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีและสำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน (สพฐ.) กระทรวงศึกษาธิการ จะสร้างศูนย์เรียนรู้นำร่อง 10 จังหวัด แต่ละจังหวัดจะมีจำนวน 3 โรงเรียน รวม 30 โรงเรียน ในปี พ.ศ. 2556 เพื่อสร้างแนวทางการดำเนินงานและวัดผลให้เป็นรูปธรรม และหลังจากนั้นจึงจะได้ขยายไปสู่วงกว้างต่อไป จึงอาจกล่าวได้ว่า โครงการ “สะเต็มศึกษา” เป็นนวัตกรรมการจัดการศึกษาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี เพื่อสร้างคนไทยรุ่นใหม่ ให้มีทักษะในการสร้างนวัตกรรม ที่จะช่วยเสริมความสามารถในการแข่งขันของประเทศ


ที่มา http://www.krusmart.com/stem-education-innovation-thailand/